แม้ว่าจะเป็นกระแสที่โด่งดังและถูกวิพากษ์วิจารณ์เป็นอย่างมาก ในส่วนของ Wolfenstein II: The New Colossus ที่มีผู้คนออกมาถกเถียงมากมายเกี่ยวกับประเด็นของการสังหารนาซีภายในเกม รวมไปถึงการใช้สัญลักษณ์สวัสดิกะและอีกมากมาย กระนั้นก็มิได้ทำให้ MachineGames และ Bethesda หยุดเข็นตัวเกมออกมาแต่อย่างใด แถมยังใช้เสียงวิพากษ์วิจารณ์เป็นตัวกระจายชื่อเสียงของเกมออกไปอีกต่างหาก
กระนั้นด้วยความที่ว่า Wolfenstein นั้นเป็นเกมที่มีคอนเซปต์เดียวยาวนานมากว่าสามสิบปีนั่นคือการไล่ยิงทหารเยอรมันนาซีให้ราบคาบ การตื่นตัวของกลุ่มผู้ปกป้องนาซี (มีจริงๆนะ) จึงไม่ค่อยมีผลกระทบมากมายเท่าที่ควร แถมตัวเกมยังได้รับเสียงชมล้นหลามจากสื่อ แม้ว่าฝั่งผู้เล่นนั้นจะไม่ประทับใจในหลายๆ ด้านของเกมก็ตามที ว่าแต่ทำไมกันนะ
‘The Last Jedi of Wolfenstein’
ใน The New Colossus เนื้อหาจะดำเนินต่อกันมาจากภาค The New Order ทันที ย้อนความกันนิดหน่อย ใน The New Order ตัวเอกของเรา William B.J Blazkowicz ได้จัดการนักค้นคว้าและรักษาสุดโรคจิต นายพล Wilhelm Strasse หัวหน้ากองทัพเยอรมันลงได้พร้อมไปกับหุ่นยนต์ยักษ์ Deathshead เพื่อนๆ ก็ได้กลับมารับตัวเขาไปรักษาในเรือ U-Boat ยักษ์ กระทั่งเรือถูกโจมตีโดยนายพลหญิง Frau Engel ที่ดูจะแค้นในตัว Blazkowicz มากๆ ถึงกับนำเรือป้อมปราการเธอ Ausmerzer ลงมาถล่มเอง ทำให้ Blazkowicz ต้องตื่นจากโคมาด้วยความฉุกเฉิน พร้อมเป้าหมายใหม่ ฆ่า Frau Engel และปลุกระดมผู้ต่อต้านในสหรัฐให้ลุกขึ้นสู้กันอีกสักตั้ง!
เนื้อหาโดยรวมในภาคนี้ไม่ค่อยมีอะไรเกิดขึ้นมากนัก เป็นธรรมดาของแฟรนไชส์ไตรภาคไม่ว่าจะหนังหรือเกมที่มักจะใช้ภาคสองเป็นตัวกลางในการบิ้วตัวละครจากภาคแรก แนะนำตัวละครใหม่นิดหน่อย และปูเรื่องไปหาภาคสุดท้ายของไตรภาคชุดนี้ เนื้อหาจึงไม่ค่อยมีอะไรอิมแพค แต่ดูจะไปเน้นในเรื่องของตัวละคร อุปนิสัย เอกลักษณ์ ทำให้เราอินไปกับตัวละครก่อนจะไประเบิดเรื่องในภาคสุดท้ายนั่นแหละ
เกือบครึ่งของภาคนี้จึงไปลงกับเรื่องราวของตัวละครซะเยอะ เราจะได้ไปเรียนรู้ชีวิตในอดีตแสนขมขื่น เต็มไปด้วยฝันร้ายของ Blazkowicz ที่ต้องทนอยู่กับครอบครัวในสถานภาพเยี่ยงนรก รับรู้ความรู้สึกของหลายๆ คนทั้งผ่านคัตซีนและผ่านฉากในเกม รวมไปถึงโมเมนต์แฮปปี้ที่ให้เราได้เห็นด้านที่ตลกสดใสของใครหลายคนในช่วงฉลองวันเกิดของ Blazkowicz
มีหลายช่วงของเกมมากที่พยายามบีบบังคับให้ผู้เล่นรู้สึก ‘แคร์’ ไปกับตัวละคร ทั้งตัวเอก และคนอื่นๆ เพราะเหตุนี้ด้านเนื้อหาของเกมจึงเดินไปได้เชื่องช้ามากๆ ต่างกับภาคแรกอย่างชัดเจน เกมมักจะขัดขาเราด้วยโมเมนต์บิ้วตัวละครเหล่านี้ จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมเกมเมอร์หลายคนถึงหงุดหงิดของการพยายามเป็นหนังของ Wolfenstein อย่างช่วงนึงที่ตัวเอกกำลังหนีออกจาก Roswell จู่ๆ พวกก็ขับรถเข้าไปในบ้านของ Blazkowicz และบังคับให้คนเล่นเรียนรู้ปูมหลังของเขาซะงั้น ถ้าคนเล่นให้ความสนใจอะไรแบบนี้ก็จะไม่มีปัญหา แต่สำหรับคนที่มากะว่าจะได้ไล่สับนาซีอย่างเดียวก็ตะกุกตะกักไม่ใช่น้อย
แต่หากให้พูดในแง่ของการพยายามเป็นหนังแล้ว Wolfenstein ถือว่าทำได้ดีเป็นอย่างมาก การวางมุมกล้อง อนิเมชั่น การพากษ์เสียง หลากหลายองค์ประกอบทางเทคนิคทำออกมาได้เนียนประจบ พูดกันในแง่เทคนิคอย่างเดียวแล้ว The New Colossus ยังคงมาตรฐานไว้อย่างดีเยี่ยมเช่นเดียวกับภาคแรก
อีกเรื่องที่ต้องพูดเลยคือโทนของเกม เราจั่วหัว ‘The Last Jedi of Wolfenstein’ เอาไว้ ไม่ใช่เพราะว่าเป็นเกมที่สื่อเกมชอบ แต่แฟนๆ เกมเกลียด แต่เพราะว่านี่เป็นภาคที่มีโทนของเกมแตกต่างจากสองภาคแรก New Order และ ฯOld Blood มากที่สุด โดยปกติธีมของ Wolfenstein ก็มักจะบ้าๆ กันอยู่แล้ว แต่ใน The New Colossus ทีมเขียนเรื่องอัดความบ้าคูณร้อยเท่าไปโดยเฉพาะช่วงกลางเกมที่ดูจะหลุดโลกไปเลย ในขณะเดียวกันก็ยัดมุขแทรกเข้ามาตลอดเกม มีเยอะมากๆ ตั้งแต่ฮาก๊ากประหนึ่งดูหนังฮีโร่มาเวล ยันนั่งเหวอ ไม่ได้ใส่มาพอหน่อมแน้มมาให้หึหึขำในใจแบบภาคแรก ใครที่ไม่เคยเจอเนื้อหาโทนไบโพล่าเดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวลงไม่เคยพอดีอะไรแบบนี้มาก่อนอาจจะเกลียดไปเลย ซึ่งนั่นก็พอเข้าใจได้ครับ
ที่น่าผิดหวังจริงๆ อยู่ที่ช่วงท้ายเกม ภาคนี้จบเนื้อหาเร็วเกินไปมากๆ ทีมพัฒนาเลือกที่จะจบเกมได้ผิดเวลาสุดๆ เพราะมันเป็นช่วงที่ผู้เล่นกำลังรู้สึกว่าอะไรๆ มันลงตัวพอดี ทั้งเรื่องระดับความยากของเกมและพล็อต แต่เกมกลับตัดสินใจจบดื้อๆ แถมไม่มีบอสทิ้งท้ายที่น่ากลัวแบบ London Monitor หรือ Deathshead เลยเป็นส่วนให้ Wolfenstein II ด้อยกว่าภาคก่อนเอาเรื่องในด้านนี้
Come at me you f***ing Nazis!
กระนั้นเอง ด้านเนื้อหาก็เรื่องนึง แต่ที่ทำให้ Wolfenstein โดดเด่นก็คงไม่พ้นด้านเกมเพลย์ยิงนาซี ใครล่ะไม่อยากจะยิงนาซี ภาคนี้ทีมพัฒนาได้พัฒนาในหลายๆ จุดอยู่เหมือนกัน ตั้งแต่ด้านระบบที่เราสามารถถือปืนสองมือผสมกันได้ทุกปืนแล้ว จากภาคแรกที่ถือได้แค่ปืนกลกับปืนกล คราวนี้จะมิกซ์ปืนกลกับลูกซอง หรือลูกซองกับปืนพกก็ทำได้ตามที่ผู้เล่นต้องการ
ในเรื่องของความยากก็มีให้เลือกกันหลายระดับตั้งแต่มือใหม่เกมเมอร์ เกมเมอร์ฝีมือกลางๆ ทั้งแบบกลางชิลๆ และแบบกลางเก่งๆ ยันผู้มีประสบการณ์เล่นเกม FPS ช่ำชอง ด้วยความยากมีทุกระดับจึงมีความท้าทายที่เหมาะสมกันไปตามฝีมือผู้เล่น เลือกได้สบายเลยว่าแค่อยากจะยิงคนแก้เครียด หรืออยากได้ความท้าทายอะดรีนาลีนสูบฉีดเดือดๆ
ฟิลเวลายิงศัตรูในภาพรวมก็สะใจเหมือนเดิม ยิงเลือดสาด แขนขาขาดกระจุย ด้านอนิเมชั่นก็ประทับใจ ในภาคนี้เราจะใช้ขวานเล่มเล็กแทนมีด มีตั้งแต่ท่าสับคอยันฟันแขนขาด ใช้ไปใช้มาคุณอาจจะลืมปืนกันไปเลยก็ว่าได้ ใครล่ะจะไม่ชอบความรู้สึกสะใจเดินดุ่มๆ ไล่สับนาซีแขนขาขาดเลือดพุ่ง สาวกเกมยิงทั้งหลายที่ฝันอยากจะยิงนาซีมันส์ๆ เกมนี้เสิร์ฟให้มีของหวานพร้อมครับ
แต่ทีมพัฒนาก็มิได้ลืมว่าเดิมแท้แล้ว Wolfenstein นั้นเป็นเกมแนวลอบเร้น ระบบลอบเร้นภาคนี้จึงยังคงมีอยู่ แม้จะไม่มีระบบอะไรใหม่ๆ ยังเป็นลอบเร้นง่ายๆ ย่องฟันสับแทงหลังจนเคลียร์ แล้วค่อยเดินหน้าต่อไป ข้อเสียจากภาคแรกก็ยังอยู่ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงมาก AI ตามัวมองเราไม่เห็นทั้งที่ยืนกลางแสงในระยะไกลอะไรแบบนั้น การลอบเร้นจึงเป็นอะไรที่ง่ายมากในภาคนี้ ถ้าเล่นดีพอ เกือบทั้งเกมอาจจะไม่ต้องบู๊เลยครับ แต่ถ้าอยากบู๊ก็ตามประสงค์เลย เกมไม่ได้บังคับเราอยู่แล้ว
ส่วนที่น่าผิดหวังเป็นที่การออกแบบด่านและดีไซน์ของเกมมากกว่าที่ให้ความรู้สึกไม่ค่อยแตกต่างจากกันและกันเท่าไหร่ พื้นที่เดิมๆ กว้าง เต็มไปด้วยโครงสร้างเหล็ก เราจะได้เห็นอะไรแบบนี้ทั้งเกมแม้จะมีเส้นทางที่แตกต่างกัน เพราะเหตุนี้ผู้เล่นเลยอาจจะรู้สึกเบื่อได้ง่ายกว่าภาคแรก ที่ให้ความรู้สึกแตกต่างกันอย่างชัดเจนในแต่ละสถานที่ตั้งแต่คุกยันศูนย์วิจัยกลางดวงจันทร์
แต่ก็ไม่ใช่ว่าแย่ เพราะในเกมเองก็มีหลายๆ ด่านที่โดดเด่น อาทิด่านที่เราต้องเกาะรถไฟไปอีกสถานที่ รถไฟก็แล่นไปเรื่อยๆ ในอุโมงค์ได้ยิน ได้ฟิลตื่นเต้นไม่หยุดนิ่งตลอดเวลา มียันวิ่งเล่นในซากตึกกลางเมืองนิวยอร์คที่โดนนาซียิงนิวเคลียร์ใส่ นึกว่ากำลังเล่น Fallout เลย ฮา แต่เทียบกับด่านที่ให้ความรู้สึกซ้ำซากแล้วแบบหลังมีเยอะกว่า จึงน่าผิดหวังกว่าครับ
ดูเหมือนว่าทาง MachineGames เองก็ใช้ The New Colossus เป็นตัวลองอะไรใหม่ๆ ด้วยเช่นเดียวกัน กับระบบภารกิจเสริมในเกมที่ให้ผู้เล่นสามารถเลือกทำได้ จะทำได้ผู้เล่นต้องปลดล็อคภารกิจกันก่อนด้วย Enigma Code ที่เก็บได้จากนายพลทั้งหลายในเกม (โดดเด่นที่เสื้อผ้าที่ใส่จะเป็นชุดโค้ทกำๆและใส่หมวกหม้อตาล) ปลดล็อคได้แล้วก็จะได้ออกไปทำหลากหลายภารกิจอาทิลอบฆ่านายพลนาซี ผ่านด่านที่เอาด่านจากเกมหลักมาโมใหม่เปลี่ยนสีเปลี่ยนเวลาแต่โรคงสร้างและเส้นทางคงเอาไว้เช่นเดิม แม้จะซ้ำซากและไร้วัตถุประสงค์ไปหน่อย เพราะผู้เล่นไม่ได้รางวัลอะไรมากมายตอบแทนนอกจากอัพเกรดตามทางเล็กน้อย แต่ก็ถือเป็นก้าวแรกของการลองอะไรใหม่ๆ นอกเหนือไปจากการไล่ยิงนาซีที่ดีครับ
แถมไม่ได้มีแค่ภารกิจเสริมรีสกิน เพราะระหว่างเกม ลูกเรือของเราที่อาศัยอยู่ด้านในก็อาจจะขอให้เราช่วยอะไรด้วย มีตั้งแต่ให้เข้าไปต่อยคนให้สลบหลังจู่ๆ เกิดอาการบ้าเอากับดักมาวางแล้วไม่ให้ใครเข้าไปให้ยา มียันให้เข้าไปปิดวาล์วแก๊ซหลังมีแมลงวันเข้าไปทำรัง เข้าไปข้างในเรากลับเจอหมาไล่กัดซะงั้น ได้อารมณ์หลอนๆ ไปอีกแบบ ตรงนี้ถือเป็น Sidequest ที่น่าสนใจดี แม้จะมีน้อยก็เถอะ
สรุป
ในภาพรวมแล้ว Wolfenstein II: The New Colossus อาจจะมีอะไรแปลกไปบ้าง ไม่ค่อยมีเนื้อหาที่น่าสนใจ แต่ด้วยการเขียนบทพูด พัฒนาการตัวละคร เกมเพลย์ที่ดี และองค์ประกอบทางเทคนิคที่สมบูรณ์ จึงถือเป็นเกมที่ดีมีคุณภาพสูงในระดับนึงเลย ทีนี้ก็ขึ้นกับเนื้อหาแล้วว่าผู้เล่นจะชื่นชอบหรือไม่ เพราะหลายๆอย่างในเกมที่เกิดขึ้นนั้นมันดีก็จริง แต่ก็ดีแบบบ้าๆบอๆ เสียสติ คนที่ไม่ชอบอะไรแบบนี้ก็จะเกลียดไปเลย จึงตัดสินใจได้ยากและเป็นเรื่องของแต่ละคนเฉพาะตัว แต่ด้านเกมเพลย์ถ้าชอบเกมยิงเป็นทุนเดิมยังไงก็ต้องชอบอยู่แล้วล่ะ ใครล่ะไม่อยากจะยิงนาซี? วางจำหน่ายแล้วบน PC, PS4, XBOX ONE และ Nintendo Switch
รีวิวเกม By GameWorld
“The game world is our world.”