เป็นเวลามากกว่าสองปีแล้วนับตั้งแต่ภาคล่าสุด Assassin’s Creed Syndicate จากนั้น Ubisoft ก็มีการปล่อยภาคใหม่ๆ สลับทีมกันไปมาทุกปีนับตั้งแต่วันที่ภาคสองของเกมวางจำหน่ายเมื่อปี 2009 และหลังจากจบกับภาค Black Flag กันไปแล้ว พวกเขาก็เริ่มพัฒนา Assassin’s Creed Origins ที่ขอปรับปรุงโครงสร้างเกมแบบยกเครื่อง และแทนที่จะทำเกม Assassin’s Creed สูตรปกติ พวกเขาตัดสินใจเดินตามสุดยอดเกมแห่งปีอย่าง The Witcher 3 และลงแรงลงเครื่องสุดกำลังชนิดที่ว่าต้องยกเลิกตารางวางจำหน่ายปีต่อปีออกไป โฟกัสที่การกอบกู้ทุกความมั่นใจที่แฟนๆ มีให้กับ Assassin’s Creed กลับคืนมา และ Origins จะเป็นตัวหวนคืนแฟรนไชส์ที่หลายคนเบื่อหน่ายกลับมา
หากพูดถึง Assassin’s Creed คุณนึกถึงอะไร? สิ่งแรกที่ต้องเข้ามาในหัวหลายต่อหลายคน ต้องไม่พ้นเนื้อเรื่อง และตัวละครที่น่าจดจำ, Origins เองก็ยังคงองค์ประกอบเหล่านี้เอาไว้ พบกับ Bayek หนุ่มอียิปต์โดยกำเนิด กับเป้าหมายที่จะปกป้องอียิปต์ในบทบาทของ Medjay คนสุดท้าย พร้อมกับล้างแค้นไล่ฆ่า The Order of Ancient กลุ่มหน้ากากลึกลับที่ชักใยอยู่หลังม่านกษัตริย์หนุ่มปโตเลมีที่ 13 ข้อหาฆ่าลูกชายของเขาไปด้วย
Origins สามารถนำความสมดุลระหว่างเนื้อหาที่จริงจัง กับตัวละครที่ไม่ได้ซีเรียสแบบเดียวกับ Ezio Trilogy กลับมาอีกครั้งได้สำเร็จ Bayek ถึงจะไม่ได้ซีเรียสดุดันแบบเดียวกับ Arno หรือ Conner Kenway แต่ความมุ่งมั่นที่จะปกป้องประชาชนและล่าคนที่พรากลูกชายเขาไปนั้นคือเต็มร้อย ทำให้ Bayek มีความเป็นมนุษย์ที่เราพอเข้าใจได้ มิได้บ้าพลังอยากจะไล่ฆ่าคนนั้นคนนี้เพียงอย่างเดียว หรือชิลเกินจนเข้าใจแรงจูงใจไม่ถูกอาทิ Edward Kenway
เนื้อหาภายในเกมก็มีความน่าสนใจมากกว่าภาคก่อนๆ ด้วยธีมที่กลับมาซีเรียสกึ่งสมจริงแทนที่จะสดใสสบายๆ เหมือน Syndicate ทำให้ทุกอย่างนั้นรู้สึกสัมผัสได้อีกครั้ง รวมไปถึงการมีส่วนร่วมของเหตุการณ์ประวัติศาสตร์จริงๆ ผสมผสานกับเรื่องแต่ง ซึ่งเป็นจุดเด่นของแฟรนไชส์กลับมากลมกลืนกันมากกว่าภาคก่อนๆ จึงทำให้ Origins มีองค์ประกอบเนื้อหาที่ น่าสนใจ น่าติดตาม แถมยังได้เกร็ดประวัติศาสตร์เล็กๆ ไปตลอดทางการเล่น ชี้ให้เห็นถึงความใส่ใจในงานค้นคว้าของฝั่ง Ubisoft และความตั้งใจในการเล่าเรื่องมากกว่าเกมเพลย์ปีนเสาหรือเก็บของไปวันๆ อย่างเดียว
Ubisoft ยังแสดงถึงความตั้งใจพัฒนาและใส่ใจทุกรายละเอียดในส่วนของ Sidequest ในเกมด้วย ตัวเกมมี Sidequest มากกว่า 100 เควสให้ทำ แต่ทุกเควสก็ไม่ได้ไร้สาระเดินหาของ ฆ่านั่นนี่แล้วก็จบไปงั้นๆ เพราะทุกเควสต่างก็มีเรื่องราวเป็นของตัวเอง บางเควสนั้นเชื่อมต่อกับเควสอื่นๆ และมีศูนย์กลางตัวร้ายจากเควสเสริมอื่นๆ มามีส่วนร่วมด้วย Ubisoft ยังไปไกลกว่านั้นอีก ถึงขั้นมีบางเควสเสริมมีคัตซีนฉากคุยเหมือนเควสหลักเลยล่ะ แม้จะยังห่างไกลจากระดับ The Witcher 3 นัก แต่นี่ก็เป็นอีกหนึ่งพัฒนาการด้านบวกที่น่ายินดีและหวังว่าจะเป็นแนวทางให้กับภาคต่อๆ ไปล่ะนะ
ถึงกระนั้นตัวเกมก็ยังมีข้อเสียที่จังหวะการเล่าเรื่อง การเปิดเรื่องเกมที่เอาไปใส่ในนิยายเอาไว้จนหมดทำให้ช่วงเริ่มของเกมนั้นรู้สึกเหมือนเล่นดูหนังภาคสองแต่ไม่เคยดูภาคแรกยังไงยังงั้น จังหวะเล่าก็ยังไม่ลงตัว เดี๋ยวช้าเดี๋ยวเร็ว โดยเฉพาะช่วงกลางเกมที่ยืดมาก ในขณะที่ช่วงท้ายเกมกลับรู้สึกว่าทุกอย่างเล่าเร็วเกินไป รวมไปถึงดีไซน์กึ่งบังคับให้ทำ Sidequest ก่อน (จะมีตัวละครหลายตัวจากเควสเสริมปรากฏในเควสหลักของเกม) ทำให้ภาพรวมเนื้อหานั้นรู้สึกครึ่งๆ กลางๆ ชี้ไม่ตรงจุดเลยสักทางเดียว
เกมเพลย์ใน Origins นั้นจากเดิมที่จะออกแอ็คชั่นหนักๆ มาในภาคนี้กลายไปเป็นกึ่ง RPG แทน ผสมผสานระหว่าง Dark Souls และ Witcher ออกมาเป็นระบบต่อสู้ที่เล่นแล้วสนุก แต่บางจุดก็น่าหงุดหงิดไม่ใช่น้อย เป็นเกมเพลย์ที่ท้าทายผู้เล่น แต่ก็ไม่ได้ยากมากเกินไป อาศัยจังหวะและการสวนกลับที่สำคัญ มิใช่การยืนรอสวนกลัวแล้วฆ่ารัวๆ แบบภาคก่อนๆ และหนีได้ก็ควรจะหนีเพราะภาคนี้ AI ได้รับการพัฒนา แถมดาเมจที่ได้รับก็สูงกว่าภาคก่อนๆ มาก โดนรุมเมื่อไหร่มีสิทธิ์ตายแน่นอน ใครที่เคยเล่น Dark Souls หรือ Witcher 3 แล้วโอเคกับระบบการต่อสู้ก็จะไม่มีปัญหาใดๆ กับระบบที่ว่านี้ครับ
แต่ถ้าใครที่ไม่ชอบระบบต่อสู้ทั้งสองเกม อันนี้คงจะพูดได้ยากนิดนึงว่าจะชอบระบบต่อสู้ในภาค Origins หรือไม่ ตัวระบบนั้นเล่นง่ายกว่า Dark Souls เพราะไม่มีค่าความเหนื่อยให้บริหาร หรืออนิเมชั่นวาดดาบน่าหงุดหงิดแบบ Witcher ก็จริง แต่เพราะตัวละครเราจะไม่เล่นเหมือนแม่เหล็กวิ่งไปแทงศัตรูอีก (ผู้เล่นต้องวิ่งไปฟันเองใกล้ๆ เกมจะไม่โยนเราเข้าไปฟันศัตรูนะจ๊ะ) แถมเน้นจังหวะเป็นสำคัญ ดังนั้นการปรับตัวเข้ากับระบบและลบความคิดคลิกเมาส์ซ้ายรัวๆ ออกไปจะช่วยผู้เล่นได้มากเลยทีเดียว แรกๆ มันจะขัดใจหน่อย เล่นๆ ไปเดี๋ยวก็ชินเอง เป็นเมื่อไหร่สนุกเมื่อนั้นบอกเลย
หันมาดูด้านระบบลอบเร้น ต้องสารภาพว่า ผิดหวัง กับส่วนนี้อย่างยิ่ง หลากหลายองค์ประกอบที่ทำให้ Assassin’s Creed โดดเด่นนั้นหายไปเยอะเอามากๆ เทียบกับภาคก่อนๆ ไล่ไปได้ตั้งแต่ระบบ Black Box ที่เปิดแนวทางให้ผู้เล่นเลือกว่าจะสังหารเป้าหมายแบบใดเหมือนภาค Unity ก็หายไป กลายเป็นเกมเดินเข้าไปแทงแบบเดียวกับภาคก่อนๆ ด้าน Social Stealth การลอบเร้นด้วยการกลมกลืนไปกับผู้คนก็หายไปเช่นเดียวกัน ตัวเกมดีไซน์เน้นไปหาทาง RPG ค่อนข้างหนัก และลดในส่วนที่เป็นระบบแอ็คชั่นออกเยอะเกินไป ทำให้ส่วนลอบเร้นของ Origins นั้นขาดความน่าตื่นเต้นระทึก หรือน่าสนใจแบบที่ภาคเก่าๆ ของเกมมี กลายเป็นเกมตกเบ็ดรอเหยื่อมาหาเราอย่างเดียว สวนทางกับแนวทางระบบเกมที่อยากให้เราลอบเร้นและหนีมากกว่าออกไปต่อสู้ง่ายๆ เหมือนภาคเก่ามาก
อุปกรณ์ลอบเร้นที่เคยมีตัวเลือกหลากหลายก็ถูกถอดหรือเปลี่ยนหมด และไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีเลย ระเบิดควันที่ปกติใช้ปาตอนไหนก็ได้ มาในภาคนี้กลับใช้ได้เฉพาะตอนที่เรากำลังต่อสู้กับศัตรู แถมกดใช้ได้บ้างไมได้บ้าง ลูกดอกยาพิษก็บังคับให้เราใช้ได้เฉพาะในระยะประชิด แถมจะเปลี่ยนอุปกรณ์ปาไปมาระหว่างระเบิดไฟกับลูกดอกยาสลบก็ลำบากมากๆ เพราะต้องกดหยุดเกม เข้าหน้าเลือกไอเทมถึงจะเปลี่ยนได้ เสียเวลา และแทบไม่ได้ช่วยอะไรในด้านเกมเพลย์ คืออีกหนึ่งจุดข้อผิดพลาดที่ต้องชี้ครับ
อาจจะยังเหลือแค่พัฒนาการด้านบวกแลกลบสองสามอย่างที่ทำให้ระบบแต่งตัวเลือกอาวุธของ Origins มีความน่าสนใจอยู่ ข้อแรกเลยคือการย่อระบบคราฟไปในทิศทางเดียวกับ Farcry ที่ให้เราออกล่านั่นนี่แล้วเอามาพัฒนาตัวละครเป็นระดับๆ ทำให้เกมไม่รู้สึกยุ่งยากมากจนเกินไป รวมไปถึงการตัดระบบสเตตัสออกไปจากเสื้อผ้าทำให้ขาแฟชั่นมีอิสระมากขึ้นแม้จะเปลี่ยนทีละส่วนเหมือนภาคเก่าๆ ของเกมไม่ได้ก็ตาม
ด้านระบบอาวุธก็พัฒนาให้เหมือนเกม RPG ขึ้นเช่นกัน แบ่งระดับความหายากเป็นสามระดับ สีฟ้าคือธรรมดา ม่วงคือแรร์ และทองคือตำนานหายาก แต่ละระดับก็จะมีความสามารถดีตามลำดับ เช่นเดียวกับธนู พูดถึงธนูแล้วลืมไปเลยว่าตัวธนูจะมีรูปแบบการใช้งานที่แตกต่างกันไปด้วยนะ อย่าง Light Bow นี่ยิงเป็นปืนกลได้เลย, Hunter Bow ต้องชาร์จะได้ยิงแรงขึ้น, Predator Bow โดดเด่นที่การยิงไกลด้วยซูม มีธนูทุกแบบให้เราเลือกตามสไตล์การเล่นครับ
การจากไปของระบบแผนที่ย่อส่วน และนำระบบเข็มทิศเหมือน Skyrim ใส่มาเพื่อเน้นให้ผู้เล่นได้สำรวจโลกรอบๆ ตัวมากกว่าจ้องแต่แผนที่ย่อ ถือเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง เพราะหลายต่อหลายครั้งผู้เล่นมักจะมัวแต่หาทางไปยังเควสต่อไป โดยไม่ได้สนใจบรรยากาศรอบข้างแสนสวยงามที่ทาง Ubisoft ตั้งใจขัดเกลากันเลย ผลักดันด้วยการนำระบบเก็บของเปิดกล่องไร้สาระและปีนเสาเปิดแผนที่ออก แล้วส่งเสริมให้ผู้เล่นเดินสำรวจเอง ทำให้ Origins ทำให้ผู้เล่นรู้สึก ‘อิน’ และดื่มด่ำบรรยากาศกับกราฟิคที่สวยงามชั้นเลิศอย่างตั้งใจได้ดีกว่าเดิมเยอะ อีกหนึ่งพัฒนาการด้านบวกที่ได้แต่หวังว่าเกมอื่นๆ จะน้อมรับแนวทางไปใช้เช่นกันครับ
เนื้อหายุคปัจจุบันของเกมนั้น ถ้าดูกันที่ภาพรวมเพียงอย่างเดียวคงต้องยอมรับว่า ‘ไม่เดินไปไหน’ เช่นเดียวกับภาคก่อนๆ ของเกมเลย แต่พอชื่นชมองค์ประกอบแล้ว จะพบว่าภาคนี้มีพัฒนาการสูงมากกว่าภาคเก่าโขนึงเลยล่ะ เพราะจากปกติที่เราจะได้เอาแต่นั่งดูคัตซีน มาในภาคนี้เราจะได้รู้จักกับตัวละครใหม่, ควบคุมตัวละครได้ แถมมีการอ้างอิงไปยังหนัง Assassin’s Creed ด้วย! อีกหนึ่งพัฒนาการบวกที่น่าสนใจ แต่เป็นไปได้ภาคหน้าช่วยเดินเรื่องไปข้างหน้าหน่อยจะขอบคุณมากๆครับ…
ทิ้งท้ายกันเอาไว้สักนิดกับความรู้สึกที่มีต่อภารกิจเสริม Secret of The First Pyramid เป็นภารกิจ DLC สำหรับผู้ที่สั่งซื้อล่วงหน้า โดยรวมแล้วถือว่าน่าประทับใจ ตัวเควสจะพาเราไปสำรวจสุสานลึกลับ ที่มาพร้อมปริศนาให้เราไข และเนื้อหาเล็กๆ น้อยๆ พร้อมของมีค่าหาได้ภายในถ้ำสำหรับเรา ส่วนตัวคิดว่าคุณภาพดีถูไถได้เลยล่ะ ที่น่าผิดหวังน่าจะเป็น DLC Ambush at Sea สำหรับผู้ซื้อ Digital Deluxe Edition ที่ให้เราเล่นเป็น Aya แล้วบังคับเรือไปต่อสู้กับศัตรู ปัญหาคือสตอรี่มีนิดเดียว ขายแต่ระบบขับเรือ จึงเหมาะกับคนที่ชอบระบบต่อสู้เรือจาก Black Flag มากกว่า และทั้งเกมใน Origins เราได้ใช้เรือแค่สามครั้งทั้งเกม ดังนั้นการมีตัวตนของ DLC นี้มีเพียงสำหรับผู้ที่ชื่นชอบระบบเรือในภาคใหม่แล้วอยากเล่นเพิ่มอีกลักครั้งเท่านั้นครับ
สรุป
มองในภาพรวมแล้ว ชมกันอย่างตรงๆ เลย Assassin’s Creed Origins คือหนึ่งในเกม Assassin’s Creed ที่ดีที่สุดและมีคอนเทนต์คุ้มกับราคามากที่สุดนับตั้งแต่ Assassin’s Creed IV: Black Flag, แม้ระบบต่อสู้จะต้องทำการปรับตัวกันบ้าง และจังหวะการเล่าเรื่องที่ขาดๆเกินๆ แต่ด้วยเควสน่าสนใจจำนวนมหาศาล เล่นเป็นแล้วติดใจยาวๆ ยัน DLC ออกรับรองได้, ระบบสำรวจ โลกกว้างใหญ่ที่ๆ 70% ของเกมมีอะไรให้ทำตลอด กราฟิคสวยงามนั่งถ่ายรูปกันได้ทั้งวัน การเก็บรายละเอียดยิบยับมากมายของเกม หลากหลายความดีความชอบเยอะกว่าจุดบอดแบบนี้ ถ้าชอบเกมแนวแอ็คชั่น RPG อารมณ์เดียวกับ Horizon, The Witcher หรือแม้แต Farcry ขอรับประกันได้เลยว่าคุณจะไม่เสียดายเงินแม้แต่แดงเดียวครับ วางจำหน่ายแล้ววันนี้ทั้งบน PC, PS4 และ XBOX ONE
รีวิวเกม By GameWorld
“The game world is our world.”