จากนิยายสู่ละครมินิซีรีส์ ผลงานชิ้นโบว์แดงของ Ken Follet ‘The Pliiar of The Earth’ มหากาพย์พันหน้า ที่ล่าสุด Daedelic Entertainment ได้ให้ความสนใจและนำมาดัดแปลงเป็นเกมผจญภัยเนื้อหาแน่น เต็มไปด้วยตัวเลือกช้อยส์ที่มีผลกระทบต่ออนาคตและปฏิสัมพันธ์มากมายแบบที่หาไม่ได้ในนิยายหรือละคร ทีมพัฒนาได้แยกเกมออกเป็น 3 ตอนเรียกเป็น ‘Book’ โดยแต่ละ Book จะประกอบด้วยเจ็ดตอน วันนี้เราจะมาคุยกันในส่วนของ Book 1 กันก่อนกับ From The Ashes
Need to know!
- คาดหวังอะไรได้บ้าง : เกมผจญภัยคลิกนั่นนี่ เน้นคุยเยอะ ตัวเลือกบทพูดแยะ
- ราคาที่ต้องจ่าย : ราวๆ 800 บาท
- แพลตฟอร์ม : PC, PS4, XBOX ONE
The Pillar of the Earth สร้างจากนิยายที่ขายดีที่สุดของ Ken Follett ธีมเรื่องตั้งอยู่ในศตวรรษที่ 12 ของประเทศอังกฤษ เวลาแห่งสงครามและความอดอยาก เนื้อหาพล็อตรวมๆ จะวนอยู่กับเรื่องการสร้างโบสต์ใหม่กลางเมือง Kingsbridge ที่ถูกทำลายลง พูดถึงการเอาชีวิตรอดในโลกในยุคที่ทุกอย่างไร้ปราณี และการแก่งแย่งชิงอำนาจระหว่างชนผู้ใหญ่กับชนผู้น้อย ที่ๆ ชีวิตและโชคชะตาเกี่ยวพันกัน
ดังที่ปูไปแล้วว่าเกมมีเซ็ทติ้งค่อนข้างเน้นความสมจริง ดังนั้นไม่ต้องหวังว่าจะได้เห็นมังกรประหนึ่ง Game of Thrones โดยใน Book 1 นี้เราจะได้เล่นเป็นสามตัวละครหลัก มี Jack เด็กน้อยที่อาศัยอยู่กับแม่ในป่า, Tom Builder วิศวกรที่เร่ร่อนพยายามหางานทำ ต้องแบกภาระดูแลครอบครัวลูกสองภริยาหนึ่ง และ Philip บาทหลวงจากแดนไกลที่เดินทางกลับมาทำพิธีศพให้เพื่อนเก่าของเขา Prior James
เกมเพลย์จะออกแนว Point and Click Adventure ผจญภัยสไตล์ดั้งเดิม ที่ๆ ผู้เล่นจะต้องมองหาสิ่งของในการไขปริศนาหรือเดินเรื่องไปข้างหน้า ระบบการควบคุมโดยมากจะใช้เพียงเมาส์ จึงเป็นเกมที่เล่นระหว่างนั่งจิบเบียร์เย็นๆ ได้สบาย คลิกซ้ายเพื่อมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งของหรือพื้นที่รอบๆ นั่นหมายถึงใช้งาน พูดคุย หรือเดินไปยังจุดนั้นๆ ได้ คลิกขวาเพื่ออ่านความเห็นของตัวละครที่มีต่อสิ่งของนั้นๆ
ทั้งนี้แม้จะใช้ระบบเดียวกับเกมแนวผจญภัยยุคเก่าๆ แต่ตัวเกมก็ได้ลดความซับซ้อนในส่วนนั้นออกไปเยอะพอสมควร ไม่ต้องเลือกว่าจะใช้ ตา หู จมูก ปาก มือ เท้า อะไรแบบนั้น เน้นความเข้าถึงง่ายเหมือนเกมผจญภัยในยุคโมเดิร์นแบบเกมของ Telltales ซะมากกว่า มีการเลือกบทสนทนา ซึ่งผู้เล่นสามารถเลือกได้ว่าจะสนทนากับตัวละครนั้นๆ ในเรื่องอะไรด้วยการเลือก Clue ที่เรามี มันมีความลึกมากกว่าเกมผจญภัยในยุคนี้ แต่ไม่ซับซ้อนและเข้าถึงได้ง่าย นับว่าเป็นความสมดุลในส่วนของการเข้าถึงเกมและความลึกล้ำที่ลงตัวที่สุดแล้ว
ทีมพัฒนาใส่ใจในทุกรายละเอียด ทั้งในส่วนของกราฟิคภาพวาดการ์ตูนที่มีความละเอียดสูง คัตซีนทำได้ดีประหนึ่งดูการ์ตูนที่เราสามารถมีส่วนร่วมในการตัดสินใจตัวละครได้ งานพากษ์ก็ดีไม่ใช่น้อยแถมพากษ์เสียงให้แทบทุกอย่างยกเว้นความคิดของตัวละคร ปฏิสัมพันธ์ที่ผู้เล่นสามารถมีต่อพื้นที่รอบตัวก็มีเยอะแยะมากมาย และทุกการกระทำของเราจะส่งผลต่อทุกอย่างรอบตัวในเกมไปด้วย
ยกตัวอย่าง ใน Chapter 1 ผู้เล่นจะได้เล่นเป็น Philips บาทหลวงที่เดินทางจากโบสต์ที่เขาอยู่มายังโบสต์ใน Kingsbridge เพื่อไว้อาลัยเพื่อนเก่า Prior James ที่ตกแม่น้ำแข็งตายไปไม่กี่วันก่อน ในส่วนนี้ผู้เล่นจะสามารถเดินไปมาได้อิสระผ่านฉากต่างๆ ในเกม จะเดินไปที่โรงตัดไม้ เดินเข้าโบสต์ เข้าไปคุยกับบาทหลวงในห้องครัวและสนทนาธรรมจากไบเบิลด้วยกันก็ยังได้
ดังที่ผู้เขียนไปเจอมา มีเด็กสองคนกำลังคุยกันเรื่องการตายของ Prior James เสียงดัง Philips เข้าไปเตือนให้คุยกันเสียงเบาๆ ลง เด็กถามว่าอะไรคือ God’s Temple ที่ปรากฏในไบเบิ้ล Philips ตอบว่า God’s Temple คือร่างกายของเรา ที่น้อมรับคำสอนจากพระเจ้าให้เข้าพำนัก ด้วยความสงสัยเด็กจึงถามต่อว่า Prior James ตกแม่น้ำแข็งตายไปเมื่อไม่กี่วันก่อน แบบนี้ก็แปลว่าเขาทำลาย God’s Temple ไหม แล้วเขาจะตกนรกหรือเปล่า ตอนนี้เราจะสามารถเลือกตอบได้ว่าจะเอาตามไบเบิ้ล (ไม่มีการให้อภัยแก่ผู้ทำลายตัวเอง) หรือจะตอบตามหลักความจริงไปว่าเป็นเพียงอุบัติเหตุเท่านั้นก็ได้
อีกตัวอย่างนึง ในช่วงที่เราเล่นเป็น Jack เราจะได้เจอกับครอบครัวของ Tom Builder และลูกชายเขา Alfred Builder ซึ่งไม่ใช่คนนิสัยดีเท่าไหร่นัก เราจะสามารถเลือกได้ว่าจะพยายามทำตัวเป็นมิตร คอยหาโอกาสช่วยเหลือ ขโมยอาหารมาให้ และพยายามทำความเข้าใจในตัวเขา หรือจะทำตัวไม่เป็นมิตร ไม่สนใจเขาไปทั้งเกมเลยก็ได้ ซึ่งจะส่งผลต่อปฏิกิริยาที่ Alfred มีต่อ Jack ตลอดเกมไปด้วย นอกจากนี้ผู้เล่นยังสามารถเลือกเส้นทางการเดินเรื่องได้ว่าจะเดินไปไหนทางไหน ที่แม้สุดท้ายจะลงเอยในจุดเดียวกัน แต่ได้อารมณ์เหมือนเล่นเกมกระดานดีๆ น่าสนใจไปอีกแบบ
สิ่งเหล่านี้เปรียบเสมือนตัวเลือกเสริมที่ไม่ได้ส่งผลต่อเนื้อหาหลัก แต่ส่งผลต่อการกระทำของตัวละครเสียมากกว่า ซึ่งจะมีผลตลอดเกม ผู้เล่นไม่จำเป็นที่จะต้องทำและสามารถเดินเรื่องเนื้อหาเกมไปข้างหน้าได้ตามปกติ แต่ถ้าไม่ทำก็ไม่ได้ต่างอะไรกับอ่านนิยายเท่าไหร่ และคงจะเสียอรรถรสไปไม่ใช่น้อย กลับกันตัวเกมกลับไม่มีเหตุผลมากพอบีบให้เราต้องทำเหมือนกัน เพราะอย่างที่บอกว่ามันส่งผลกระทบแค่สิ่งรอบตัว มิใช่เนื้อหาหลักของเกม หากผู้เล่นไม่ได้สนใจตัวละครหรือแค่อยากค้นพบว่าเรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไปก็ไม่ต้องทำเลยก็ได้ เดินเรื่องตามเป้าหมายตัวเองไปเลยก็ดูจะไม่ได้พลาดอะไรเป็นพิเศษนัก
ตรงนี้นับเป็นข้อเสียอย่างนึงเพราะเท่ากับว่าตัวเลือกช้อยส่วนมากมีความแตกต่างกับผู้เล่นอื่นแค่ในระดับบทสนทนาเท่านั้น ไม่ว่าจะเลือกเล่นอย่างไรเกมก็จะบังคับให้เราเดินเรื่องไปในส่วนที่เกมต้องการอยู่ดี แต่เข้าใจว่าเวลานี้เกมพยายามต้องการบิ้วทั้งในส่วนของปมความขัดแย้งและพัฒนาการของตัวละคร ตอนนี้เลยไปขึ้นอยู่กับ Book 2 ว่าทุกการกระทำของเรานั้นมีผลกระทบที่สำคัญหรือไม่ แต่สำหรับตอนนี้ยังไม่ประทับใจในส่วนนี้ครับ
และอย่างที่เราบอกว่าเกมพยายามต้องการที่จะบิ้วเนื้อหาก่อน ทำให้อะไรหลายๆ อย่างเกิดขึ้นไปด้วยความเชื่องช้า แข่งกับหอยทากน่าจะแพ้ ช้าแบบนั้นกันเลย สายที่ชอบเนื้อหาแอ็คชั่นตื่นเต้นบอกเลยว่าหลับแน่นอน เพราะแทบจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยในตอนแรกนี้ ถ้าหากผู้เล่นยังไม่อินไปกับบทและปฏิสัมพันธ์ตัวละครอันเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญในตอนแรกหลังจากเล่นไปสักพัก ก็น่าจะเป็นสัญญานชัดเจนแล้วว่านี่ไม่ใช่เกมสำหรับคุณแน่นอนครับ
สรุป
ในภาพรวมแล้ว เป็นเกมที่มีองค์ประกอบที่น่าสนใจหลายอย่าง ระบบดี เก็บรายละเอียด พากย์เสียงโอเค หลายๆ อย่างในเกมนี้ควรจะเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับเกมแนวเดียวกัน ด้วยการออกแบบมาคล้ายเกมกระดานผสมนิยาย มากกว่าหนังที่เราต้องกดปุ่มที่ขึ้นจอจะได้ผ่าน ดีไซน์ในเกมทำได้ครบเครื่อง และดูเป็นเกมกว่ามาก ถ้าหากแก้ไขในส่วนของการเล่าเรื่องให้เร็วขึ้น และทำให้ทุกการกระทำของเราส่งผลกระทบไปยังเนื้อหามากกว่าแค่ปฏิสัมพันธ์ เชื่อได้ว่านี่จะเป็นอีกหนึ่งเกมผจญภัยที่น่าจดจำที่สุดในรอบหลายปีมาได้เลยทีเดียว เกมวางจำหน่ายแล้วบน PC, PS4 และ XBOX ONE
ขอขอบคุณ Daedelic Entertainment สำหรีบคีย์รีวิวบน PC มา ณ ที่นี้ครับ
รีวิวเกม By GameWorld
“The game world is our world.”