ขยับไปอีกขึ้นสำหรับวงการเกมที่เรียกว่าฮือฮาเอามากๆกับระบบ VR ซึ่งหลายๆคนก็รับรู้ได้ว่าบนโลกแห่งนี้มี VR เข้ามาให้เราเล่นได้หลายอย่างไม่ว่าจะเป็นเกมหรือกิจกรรมต่างๆ ซึ่งจะเป็นยุคๆนึงที่ Anime ญี่ปุ่นดังเอามากๆอย่าง Sword Art Online ที่หลายคนพอได้ดูเรื่องนี้ต้องพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าถ้าชีวิตจริงมีแบบนี้บ้างก็คงดีคือการเข้าไปในเกมที่เราเล่นเหมือนเป็นตัวเราเองที่ทำการสกิลต่างๆซึ่งระบบนั้นหลายๆคนอยากให้เป็นจริงเอามากๆในการใส่ตัวเราเข้าไปในเกมและเล่นในโลกเกมซึ่งเทคโนโลยีก็เจริญเติบโตขึ้นไปเรื่อยๆและค่อนข้างกระโดดจนมาเป็น VR ที่มีความใกล้เคียงมากยิ่งขึ้นนั่นเอง
ซึ่ง VR ในยุคช่วงแรกๆที่เปิดตัวก็ยังไม่เป็นที่ต้องการสำหรับหลายๆคนเหมือนกับว่าระบบยังแคบอยู่และยังไม่เสถียรมากพอนั่นเองซึ่งยุคปัจจุบันก็เริ่มเสถียรมากขึ้นและมีอะไรใหม่ๆให้เล่นไม่ว่าจะเป็นเกมต่างๆและเราต้องขยับร่างกายรวมไปถึงสื่อต่างๆอีกด้วยทำเข้ามาทำ VR และทำออกมาค่อนข้างดีอีกด้วยซึ่งนั้นก็มาสู่อย่าง Ubisoft ที่จะพัฒนาเกม VR ซึ่งเป็นเกมแฟรนไชน์ที่หลายๆคนเล่นกันอยู่แล้วแต่มาในระบบ VR นั่นเองนั่นคือ Splinter Cell และ Assassin’s Creed อีกด้วยซึ่งหลายๆคนคงรู้ว่าการเล่นจะเล่นเกมที่ระบบจัดขนาดนี้ก็ต้องใช้พื้นที่ส่วนนึงด้วยหรือการขยับร่างกายนั่นเองซึ่งก็ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าจะออกมาเป็นแบบไหนและแบบใดแต่ก็ถือว่าเรียกกระแสเกมได้พอสมควรเลยอีกด้วย
ซึ่งระบบนั้นจะเป็นเกม VR ให้กับ Oculus และยังเป็นภาคใหม่ที่มาในฉบับ VR อีกด้วย และแน่นอนว่า Ubisoft ต้องเป็นผู้พัฒนาหลักในการพัฒนาเกมเวอร์ชั่น VR อีกด้วยและไม่ใช่แค่ 2 เกมนี้ที่วางแพรนเอาไว้แต่จะมีเกมอย่าง Werewolves Within , Star Trek Bridge Crew Eagle Flint ซึ่งล้วนแล้วคุ้นหูคุ้นตามาบ้าง บางเกมเป็นเกมจากบอร์ดเกมซึ่งทำให้เราอินและดื่มด่ำกับตัวละครได้ดีอีกด้วย ก็ถือว่ากล้าลองอะไรใหม่โดยเฉพาะเกมที่มีความคล่องตัวและพริ้วอย่าง Assassin’s Creed อีกด้วย
ซึ่งแน่นอนหล่ะว่าระบบ VR ในเกมนี้ก็ต้องทำการบ้านอย่างหนักพอสมควรสำหรับ VR เพราะกว่าจะทำให้คงที่ทั้งกราฟิกและการเคลื่อนไหวรวมไปถึงภาพอีกด้วยในมุมมอง VR ก็ต้องคิดทบทวนหลาย Step พอควรซึ่งยังไม่ได้มีการกำหนดวางขายหรือวางจำหน่ายแต่อย่างใดไม่ว่าจะเป็น Assass’s Creed หรือ Splinter Cell ซึ่งก็ต้องรอดูกันต่อไปว่าจะเวิร์คหรือไม่ แต่แฟนๆหลายๆคนอาจจะเสียใจที่ภาคใหม่อย่าง Splinter Cell ที่รอภาคใหม่กันมาลงในระบบ VR แต่แฟนๆก็แอบปลื้มและอยากลองอะไรใหม่ๆซึ่งก็ถือว่าเป็นโจ๊กติดตลกกันไปอย่างขายที่เล่นอยู่ไปซื้อเครื่องอย่าง Oculus ดีกว่าทำเอาหลายๆคนตั้งใจรอเกมเปิดเอามากๆอีกด้วย
และอีกอย่างระบบ VR เริ่มเปิดกว้างมากขึ้นผู้คนเข้าถึงได้ง่ายและไม่ซับซ้อนในการเล่นสักเท่าไหร่นักมันเหมือนกับการจำลองตัวเราเข้าไปในสถานการณ์แบบนั้นจริงๆและหลายๆคนชอบที่จะเล่นและแอบคล้ายเสมือนจริงอีกด้วยซึ่งหลายๆคนชอบเล่นแนวหวาดเสียวหรือท้าทายแต่ยังไม่มีเวลาที่จะไปมากนักทำให้ VR เริ่มเป็นที่ต้องการทางตลาดมากขึ้นเพราะไม่ว่าจะอยู่ตรงไหนก็สามารถเข้าไปเล่นนั่นเอง ถือว่าเป็นอีกก้าวที่เราเข้าไปผจญภัยเสมือนตัวเราเองที่หลายๆคนอยากให้เป็นจริงซึ่งก็มีการค้นขว้าหาข้อมูลอยู่เหมือนกันกับระบบที่เชื่อมกับสมองของเราซึ่งฟังและน่าขนลุกชอบกลแต่ถึงอย่างนั้นคิดว่าพอถึงในจุดๆนึงมนุษย์เราสามารถทำได้แน่นอน
และนี่ก็คือการก้าวกระโดดของเทคโนโลยีและทาง Ubisoft ก็ลองอะไรใหม่อีกด้วยในความท้าทายที่ยากขึ้นไปอีกเพราะไม่ว่าตัวเกมจะเป็นแบบไหนและแบบใดก็ขึ้นอยู่กับแฟนอีกด้วยว่าจะลงทุนซื้อเครื่องและเกมหรือไม่ ไม่งั้นก็อาจจะมี Fail Fail และล้มเลิกโปรเจคไปนั่นเองก็ต้องมารอดูในอนาคตว่าจะปังมากน้อยขนาดไหนนั่นเอง